วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

SimCity เกมส์ที่ให้มากกว่าเกมส์


SimCity. 

   เป็นเกมสร้างเมืองที่คุณเพลิดเพลินกับการสร้างเมืองและจัดการจราจร ซึ่งคุณจะได้เป็นนายกเทศมนตรี บริหารประเทศในฝันของคุณเอง ในเกมคุณจะได้สร้างพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัย พื้นที่ธุรกิจ พื้นที่อุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งการสร้างระบบสาธารณูปโภค สาธารณสุข อีกทั้งคุณยังต้องสร้างความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่ ชาวซิมส์ด้วย ในเกมมีสิ่งก่อสร้างต่างๆ มากมายให้คุณได้จัดสรรในเมืองของคุณ

------------------------------------------------------------------------

SimCity. มีมานานแล้วเรียกว่าใหม่หรือ?

   หลายท่านคงสงสัยว่า...นี่เป็นบล็อกเกี่ยวกับการศึกษาแล้วเจ้าเกมส์ SimCity. มันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร? ไม่ต้องสงสัยค่ะ เพราะว่าวันนี้เจ้าเกมส์ SimCity. ไม่ได้มาทำหน้าที่เป็นเพียงแค่เกมส์เท่านั้น แต่มันจะมาในฐานะของสื่อการเรียนการสอน
   ก่อนอื่นเลยแพรขอกล่าวถึงเกมส์ SimCity. ก่อนเลยนะคะ เกมส์นี้เป็นเกมส์ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและได้รับควานิยมเป็นอย่างมาก จะกล่าวได้ว่าเป็นเกมส์ที่หลายๆท่านต้องเคยได้ผ่านมือมาบ้างหรืออย่างน้อยๆก็ต้องได้ยินชื่อกันมาบ้างแล้ว 
   แล้วมันเก่าแบบนี้จะเป็นเทคโนโลยีการศึกษาใหม่ๆได้หรือ? สำหรับแพรขอตอบเลยค่ะว่าได้แน่นอน เพราะเจ้าเกมส์ SimCity. นี้อาจจะออกมาสู่ท้องตลาดในฐานะของเกมส์นานแล้ว แต่สำหรับทางการศึกษานั้น ก็ยังไม่มีใครนำมาใช้หรือไม่ก็น้อยคนนักที่จะนำมาใช้เพื่อเป็นสื่อในการเรียนการสอน ดังนั้นหากแพรจะกล่าวว่า SimCity. เป็นเทคโนโลยีการศึกษาใหม่ก็คงไม่ผิดนะคะ

 ------------------------------------------------------------------------

ทำไมต้องเป็น SimCity?
   
   แพรเป็นคนหนึ่งที่ค่อนข้างติดเกมส์ และใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการเล่นเกมส์ มันเลยเป็นตัวจุดประกายความคิดที่ว่า ในเมื่อเด็กส่วนใหญ่มักใช้ชีวิตอยู่กับเกมส์ แล้วทำไมเราไม่สอดแทรกความรู้ในเนื้อหาการเรียนลงไปด้วยล่ะ
   หลายคนที่เล่นเกมส์เพื่อความสนุกสนาน โดยไม่ได้ใส่ใจกับผลที่ได้รับจากเกมส์นั้นๆ ถ้าลองมองให้ดีๆเนื้อหาของเกมส์แต่ละเกมส์สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะกับเกมส์ SimCity. นี้ เป็นเกมส์ที่ถูกพัฒนามาเพื่อผู้เล่นที่มีความชอบเกี่ยวกับการบริหารจัดการโดยเฉพาะ ถ้าหากลองเปลี่ยนมุมมองว่าเล่น SimCity. เพื่อความบันเทิง แต่มาเล่นโดยและจัดการบริหารบ้านเมืองให้เป็นสัดเป็นส่วน รับรองว่าจะเป็นการฝึกพัฒนาการทางเรื่องคิดวิเคราะห์ บริหารจัดการ เป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว

------------------------------------------------------------------------

ข้อดีของ SimCity.

   แน่นอนว่าประโยชน์ที่ได้รับคือเรื่องของการบริหารจัดการ โดยผู้เรียนจะได้ลงคำนวณความเป็นไปได้  และได้เรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการในส่วนของธุรกิจที่เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจ โดยผู้เรียนจะได้วิเคราะห์สถานการณ์และปัจจัยต่างๆอย่างเสมือนจริง
   จากที่กล่าวไปข้างต้น อาจจะดูเหมือนว่าเกมส์นี้เป็นเกมส์ที่เครียดไปหรือไม่สำหรับผู้เรียน แต่เพราะด้วยความที่มันเป็นเกมส์ แพรถึงได้เลือกมันขึ้นมาเป็นสื่อการเรียนรู้ เพราะภายในเกมส์นี้จะมีตัวช่วยที่จะคอยกล่าวคำแนะนำในการจัดการดูแลส่วนต่างๆ ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้โดยตนเอง อีกทั้งรูปแบบและสถานการณ์จำลองในเกมส์ก็ไม่ได้มาเนื้อหาที่จริงจังหรือกดดันจนเกินไป ทำให้ผู้เรียนได้เกิดความผ่อนคลายและพร้อมที่จะเกิดการเรียนรู้ได้เสมอ

ข้อเสียของ SimCity.

   ทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่มีทางที่จะมีแต่ข้อดี แน่นอนว่าเจ้าเกมส์ SimCity. นี้ก็มีข้อเสียเช่นกัน เพราะด้วยเนื้อหาที่อาจจะดูเรื่อยๆอาจทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายกับเกมส์ได้ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะเป็นผู้ตั้งโจทย์ให้ผู้เรียนได้ไปทำตามภาระกิจนั้นๆ และอาจให้มีการแข่งขันกันระหว่างผู้เรียน เพื่อให้เกิดความสนุกและท้าทายได้เช่นกัน

------------------------------------------------------------------------

   "อย่างไรก็ตาม เกมส์ก็ยังคงมีความเป็นเกมส์อยู่วันยังค่ำ หากผู้เรียนไม่ได้รับการดูแลอาจจะทำให้เกิดสภาวะติดเกมส์ได้ ในส่วนของตรงนี้ก็คงต้องฝากให้ผู้สอนที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านสื่อต่างๆอย่างเหมาะสมและให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดนะคะ"




วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แต่งแบบนี้ซิ "ใช่"


                                      
การดำรงชีวิตและครอบครอบครัว
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

          ในชีวิตประจำวันของเรา  จะมีการประกอบกิจกรรมที่แตกต่างกัน  เราจึงควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่จะทำ โอกาส  และสถานที่  นอกจากนี้การแต่งกายได้เองยังทำให้เรามีความมั่นใจ และช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่

          เหตุผลที่จัดทำสื่อการเรียนการสอนชิ้นนี้ขึ้นมานั้น เพราะการแต่งกายเป็นเรื่องที่ผู้เรียนต้องประสบพบเจออยู่ทุกวัน รวมทั้งเรื่องการแต่งกายนี้ยังถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเนื้อหาในการเรียนอีกด้วย ดังนั้นสื่อการสอนชิ้นนี้จึงเป็นเหมือนตัวช่วยที่จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ที่จะแต่งกายให้เหมาะสม อีกทั้งทำให้ผู้เรียนได้เกิดการพัฒนาทักษะการดำรงชีวิต สามารถดูแลตัวเองได้ซึ่งจะเป็นการแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ได้อีกวิธีหนึ่ง



ตัวอย่างสื่อ
        
        ลักษณะของสื่อจะเป็นหนังสือ ด้านในจะประกอบไปด้วยตัวละครที่จะดำเนินเรื่อง เป็นการเล่าเรื่องการไปสถานที่ต่างๆ โดยจะให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมกับเนื้อหา โดยเป็นผู้เลือกว่าตัวละครควรแต่งตัวแบบใด ในฉากนั้นๆ







การวิเคราะห์ผู้เรียน

          สื่อนี้ผลิตขึ้นสำหรับผู้เรียนที่อยู่ในช่วงชั้นประถมศึกษา เนื่องจากความรู้ภายในสื่อนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของผู้เรียน รวมทั้งสื่อนี้ต้องอาศัยทักษะการดำรงชีวิตของผู้เรียน ที่สามารถหยิบจับและใส่เสื้อผ้าเองได้ แต่สื่อก็ยังคงความเป็นของเล่นเพื่อให้เข้ากับช่วงวัยของผู้เรียน ส่วนในเรื่องของความแตกต่างระหว่างผู้เรียนในเรื่องของเพศนั้น ได้มีการแบ่งตัวการ์ตูนที่ประกอบการเรียนรู้ในสื่ออย่างชัดเจน ทำให้ผู้เรียนสามารถศึกษาการแต่งกายได้ทั้งของผู้ชายและผู้หญิง

กำหนดวัตถุประสงค์

       1. อธิบายขั้นตอนการแต่งกายได้
       2. มีเจตคติที่ดีต่อการแต่งกาย
       3. เรียนรู้การแต่งกายให้เหมาะสมกับโอกาสและสถานที่


กระบวนการจัดการเรียนรู้

> ก่อนเรียน

          ก่อนที่จะให้ผู้เรียนได้มีการใช้สื่อการเรียนนั้น ผู้สอนควรมีการตรวจสอบความรู้เดิมของผู้เรียนก่อน ในที่นี้คือผู้เรียนควรมีความรู้ความแตกต่างกันของยูนิฟอร์มของชุดต่างๆ เช่น ชุดนักเรียน กางเกง กระโปรง ชุดชั้นใน เป็นต้น และมีการสอบถามว่านักเรียนแต่งกายด้วยตนเองหรือให้ผู้ปกครองแต่งกายให้




>ระหว่างเรียน 

          การใช้สื่อควบคู่ไปกับการเรียนทำให้ผู้เรียนจะสามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการแต่งกาย คงจะลำบากหากผู้สอนต้องมายืนแต่งตัวให้ผู้เรียนดูหน้าชั้นเรียน สื่อนี้จะทำหน้าที่แสดงให้ผู้เรียนได้เห็น รวมทั้งด้วยความที่เป็นสื่อที่มีลักษณะคล้ายของเล่นก็จะทำให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกไปกับการเรียนอีกด้วย หรือาจมีการให้ผู้เรียนออกมาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการแต่งกายของตนเอง และมีการเปิดสื่อการสอนประกอบไปด้วย จะทำให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการพูดเล่าเรื่องจากภาพได้อีกทางหนึ่ง ระหว่างเรียนนั้นก็มีการเปิดโอกาสให้เพื่อน ๆ แสดงความคิดเห็นและผู้สอนกล่าวคำชื่นชม หากมีข้อผิดพลาดผู้สอนก็อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแต่งกายเสริมเข้าไป


>หลังเรียน

          หลังจากผู้เรียนได้รับความรู้เกี่ยวกับการแต่งกายแล้ว ผู้เรียนก็สามารถใช้สื่อได้โดยการเลือกชุดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆตามที่มีการตั้งโจทย์ไว้ ซึ่งผู้เรียนสามารถใช้สื่อเรียนรู้เป็นรายบุคคลหรืออาจจะเรียนรู้พร้อมกับเพื่อนๆเพื่อเป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีได้อีกด้วย 
           หรือผู้เรียนอาจนำสื่อไปศึกษาได้ด้วยตนเอง เพราะภายในตัวสื่อเองนั้น จะมีคำอธิบายในแต่ละฉากที่เข้าใจง่าย ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้มนทันทีว่าคำตอบที่ตนเลือกนั้นถูกหรือไม่ และควรปฏิบัติอย่างไรต่อไป





------------------------------------------------------------------












วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จากอดีต...จนถึงปัจจุบัน



สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านกลับมาเจอกันอีกแล้ว ช่วงนี้จะเห็นว่าแพรมาอัพเดทบทความบ่อยๆ ไม่ต้องแปลกใจค่ะเพราะแพรส่งการบ้าน แหมสมัยนี้ก็เป็นยุคของเทคโนโลยีถ้าการเรียนการสอนไม่มีการอัพเดทให้ทันยุคทันสมัย มีหวังนักเรียน นิสิต นักศึกษาคงได้นั่งเบื่อกันเป็นแถวๆ เพราะเหตุนี้อาจารย์หลายๆท่านจึงต้องมีการพัฒนาแผนการสอนให้ตามทันศิษย์ อย่างแพรท่านอาจารย์ก็ให้มีการทำงานส่งผ่านเฟสบุ๊คทันสมัยมากเลยใช่ไหมล่ะคะ 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


       จะเห็นได้ชัดเลยว่าทุกวันนี้โลกเรามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีต่างๆเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรามากขึ้น จากตอนเด็กๆที่แพรจำได้คุณครูของแพรยังสอนโดยการเขียนกระดานดำ ใช้ช๊อคเขียนกระดาน นั่งจดกันอย่างตั้งใจเพราะกลัวคุณครูจะลบไปซะก่อน 
        ผ่านไปสักพักกระดานสีเขียวๆในห้องเรียนก็เปลี่ยนเป็นกระดานไวท์บอร์ด ช่วยเพื่อนที่เป็นโรคหอบหืดไปได้พอสมควร (จะได้ไม่ต้องนั่งสูดฝุ่นช๊อคทุกวัน) พอโตขึ้นมาอีกนิดก็เริ่มมีการเรียนผ่าน PowerPoint คุณครูเริ่มมีการนำคลิปวิดีโอต่างๆมาเปิดเพื่อเป็นสื่อการเรียนการ สอน แต่คุณครูบางคนท่านก็ไม่ถนัดทำสื่อคอมพิวเตอร์เท่าไรนักก็ยังมีการเรียนแบบจดบนกระดานอยู่บ้าง แต่พอชีวิตเริ่มเข้าสู่ช่วงมัธยมตอนปลายจะพูดได้เลยว่าขนาดคุณครูวัยพี่เบิร์ดธงไชยบางท่านยังทำสื่อ PowerPoint สวยกว่าแพรด้วยซ้ำ ไวท์บอร์ดแทบจะถูกลืมไปเลย แถมคุณครูบางท่านยังมีการทำเกมส์แอนนิเมชั่นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนอีกด้วย ช่วยทำให้คาบบ่ายในวิชาฟิสิกส์ดูน่าตื่นเต้นขึ้นได้มาก (ปกติจะมีอาการง่วงเหงาหาวนอนเข้าแทรกประจำ) 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 



          แต่ถ้าจะให้พูดถึงช่วงมัธยมตอนปลายสื่อในการเรียนที่แพรประทับใจมากที่สุดก็คงไม่พ้นห้องดูดาว 3 มิติ (เป็นห้องฉายภาพเสมือนจริงดาราศาสตร์ 3 มิติ ที่โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ร่วมกับ The Centre for Astrophysics & Supercomputing, Swinburne University of Technology, Australia จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอนดาราศาสตร์ที่จะช่วยจุดประกาย เด็กและเยาวชน ให้เกิดความรักและสนใจในดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีความสำคัญมาก ช่วยในการเสริมสร้างจินตนาการให้สนใจศึกษาและค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีมากขึ้น) จะพูดได้เลยว่าการได้ไปศึกษาแหล่งการเรียนรู้ของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ในครั้งนั้นเป็นการจุดประกายที่ทำให้แพรเริ่มสนใจที่จะมาฝึกฝนในเทคโนโลยีการศึกษาต่างๆอย่างจริงจัง เริ่มในช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 5 แพรเริ่มมีโอกาสได้ฝึกอบรมและเป็นตัวแทนของโรงเรียนในการจัดทำสื่อและเทคโนโลยีการศึกษา ทำให้แพรได้รู้จักสื่อการเรียนรู้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็น CAI, e-book, Animation, e-Learning และอื่นๆอีกมากมาย พอยิ่งได้รู้จักได้สัมผัสยิ่งทำให้แพรอยากจะรู้มากขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลอีกข้อที่ทำให้แพรตัดสินใจมาเรียนที่นี่ 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

 
      เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัยการเรียนการสอนเปลี่ยนไปจากช่วงมัธยมอย่างสิ้นเชิง จะบอกได้เลยว่าถ้าไม่มีอินเตอร์เน็ตการทำอะไรต่างๆกลายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก เพราะในช่วงมหาวิทยาลัยนี้ไม่ว่าจะเป็นการสืบค้นข้อมูล การส่งงาน การติดต่อกับท่านอาจารย์ ล้วนแล้วจะต้องทำผ่านอินเตอร์เน็ตทั้งสิ้น แต่เนื่องจากตอนปีหนึ่งอินเตอร์เน็ตที่องครักษ์ใช้งานได้ดีมากเหลือเกิน จึงทำให้แพรและเพื่อนๆก็ได้มีโอกาสกับมาพึ่งพาเทคโนโลยีการศึกษาในรูปแบบเดิมๆอยู่บ่อยครั้ง แต่ห้องสมุดก็ไม่เคยทำให้แพรผิดหวังถึงแม้ว่ากว่าจะค้นหาได้ตามที่ต้องการก็ทำเอาเหนื่อยไม่ใช่เล่น

 จากที่แพรกล่าวมาทั้งหมดท่านผู้อ่านจะเห็นได้เลยนะคะว่าการเรียนการสอนมีเทคโนโลยีการศึกษาเข้ามาช่วยมากมาย แม้ว่าเทคโนโลยีการศึกษาบางอย่างในปัจจุบันนี้อาจจะโดนหลงลืมไปบ้าง แต่สำหรับตัวแพรคิดว่าเทคโนโลยีการศึกษาทุกอย่างยังคงมีประโยชน์เท่าๆกัน เพียงแต่ได้นำมาใช้ในโอกาสใดก็เท่านั้น แล้วเทคโนโลยีการศึกษาของท่านผู้อ่านล่ะคะมีอะไรบ้าง? อย่าลืมมาแบ่งบันประสบการณ์การเรียนรู้ให้แพรอ่านบ้างนะคะ




          - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บริหารคน...บริหารใจ



           
 สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน หลังจากหัวข้อที่แล้วแพรได้มาแนะนำตัวไปคงจำกันได้ สำหรับหัวข้อในวันนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเรียนรู้ค่ะ แพรเชื่อว่าพอหลายคนเห็นหัวข้อแล้วคงจะส่ายหัว แต่แพรคิดว่าหลังจากที่ทุกคนได้อ่านคงได้นำไปประยุกต์ใช้ได้ไม่มากก็น้อยเลยล่ะค่ะ


          ถ้ามาพูดกันถึงเรื่องการเรียนรู้ สำหรับแพรนั้นเรื่องที่แพรต้องเรียนรู้คงไม่ใช้เพียงแค่ในห้องเรียนเท่านั้น อย่างที่แพรเคยกล่าวไปในหัวข้อการแนะนำตัว แพรเป็นคนชอบทำกิจกรรมต้องพบปะผู้คนหลายเพศหลายวัยแตกต่างกันออกไป อาจจะงงว่าเกี่ยวกับการเรียนรู้อย่างไรใช่ไหมละคะ สำหรับแพรการได้ทำงานร่วมกับผู้อื่นในฐานะของผู้นำหรือผู้ร่วมงานนั้นถือเป็นการเรียนรู้ที่ยากพอสมควร เพราะแพรต้องฝึกที่จะเข้าใจผู้อื่น มองคนให้ออกและสามารถบริหารทั้งงานและคนให้ไปด้วยกัน รวมทั้งต้องประพฤติตนให้เหมาะสมอีกด้วย สำหรับบทความนี้แพรขอนำเสนอทฤษฎีจูงใจคนที่แพรนำมาประยุกต์ใช้คือ "ทฤษฎี XYZ"

 


    


ทฤษฎีนี้เกิดจากข้อสมมุติฐานที่ว่า
           ตามธรรมชาติของมนุษย์มีความเกียจคร้านเป็นนิสัย ดังนั้นการทำกิจกรรมใดๆก็ต้องมีการกระตุ้นโดยการให้รางวัลหรือการลงโทษ ตลอดจนต้องมีการควบคุมอย่างใกล้ชิด
           จากหลักความคิดของทฤษฎี X จะกล่าวได้ว่าบุคคลใดๆจะทำงานเมื่อมีกฎ ระเบียบมาบังคับ และต้องจ่ายค่าตอบแทนจึงจะทำงาน หลายคนอาจจะใช้ทฤษฎีนี้ ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลิตภาพที่ดี แต่ความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงานอาจจะออกมาไม่ดีอย่างที่คิด สถานการณ์ที่บ่งบอกคือ บุคคลนั้นๆจะทำงานในส่วนที่ตนเองได้รับมอบหมายเท่านั้น แต่จะไม่มีการช่วยเหลือผู้อื่น ทำงานแบบขอไปทีหรือขอให้จบไปวันๆเท่านั้น ผู้นำที่บริหารบุคลากรด้วยทฤษฎี X มักจะได้รับผลงานที่ดีเยี่ยมแต่ความสัมพันธ์กับเป็นทางยอดแย่แทน




 
 
   

 ทฤษฎีข้อนี้เกิดจากข้อสมมุติฐานที่ว่า
          โดยธรรมชาติและมนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นอยากทำ หากสิ่งเหล่านั้นมีความหมายและน่าสนใจสำหรับตัวเขา เขาก็จะทำด้วยตนเองหรือดิ้นรนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
           จากหลักทฤษฎีนี้จะให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมงาน ส่งเสริมให้แต่ละบุคคลได้แสดงศักยภาพของตนเอง พัฒนาขีดความสามารถจนกระทั่งบรรลุตามเป้าหมาย ทฤษฎีนี้เน้นทุกคนเป็นจุดศูนย์กลาง อ่านดูแล้วเป็นทฤษฎีที่น่าใช้เพราะเป็นเรื่องที่จะไม่ทำร้ายความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งเป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน แต่ความเป็นจริงแล้วในสังคมย่อมมีบุคคลที่มีความหลากหลายทางพฤติกรรม มีพื้นฐานทางความคิดแตกต่างกัน ดังนี้การจะใช้ทฤษฎี Y เพียงอย่างเดียวในการบริหารคนจึงอาจประสบปัญหาหลายอย่างและไม่บรรลุผลตามที่ ตั้งใจไว้






 



ทฤษฎี นี้รวมเอาหลักการของทฤษฎี X และ Y เข้าด้วยกัน แนวความคิดก็คือ มีหลักเกณฑ์ที่ควบคุมมนุษย์ แต่มนุษย์ก็รักความเป็นอิสระและมีความต้องการ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามแต่ละบุคคลและสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ทฤษฎีมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการคือ
1. การทำตั้งใจในสิ่งที่หวังไว้สำเร็ลลุล่วง
2. การเปิดโอกาสให้ทุกคนได้พัฒนาและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
          3. การให้ความไว้วางใจแก่เพื่อนร่วมงาน
          4. การให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
 


      สำหรับตัวแพรเองนั้นคิดว่า การทำงานแต่ละอย่างให้เกิดความเหมาะสมนั้นก็ควรจะใช้ทฤษฎีจูงใจคนที่แตกต่างกัน แต่ส่วนหนึ่งต้องไม่ลืมว่า ทุกคนนั้นเป็นเพื่อนของเรา ดังนั้นไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีไหนก็ตามสิ่งที่ลืมไม่ได้เลยนั้นก็คือทฤษฎีบริหารคนด้วยหัวใจควบคู่กันไปด้วย นึกถึงใจเขาใจเราเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะคะ


© It's blog. it's me. 2012 | Blogger Template by Enny Law - Ngetik Dot Com - Nulis