วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จากอดีต...จนถึงปัจจุบัน



สวัสดีค่ะท่านผู้อ่านกลับมาเจอกันอีกแล้ว ช่วงนี้จะเห็นว่าแพรมาอัพเดทบทความบ่อยๆ ไม่ต้องแปลกใจค่ะเพราะแพรส่งการบ้าน แหมสมัยนี้ก็เป็นยุคของเทคโนโลยีถ้าการเรียนการสอนไม่มีการอัพเดทให้ทันยุคทันสมัย มีหวังนักเรียน นิสิต นักศึกษาคงได้นั่งเบื่อกันเป็นแถวๆ เพราะเหตุนี้อาจารย์หลายๆท่านจึงต้องมีการพัฒนาแผนการสอนให้ตามทันศิษย์ อย่างแพรท่านอาจารย์ก็ให้มีการทำงานส่งผ่านเฟสบุ๊คทันสมัยมากเลยใช่ไหมล่ะคะ 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


       จะเห็นได้ชัดเลยว่าทุกวันนี้โลกเรามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีต่างๆเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรามากขึ้น จากตอนเด็กๆที่แพรจำได้คุณครูของแพรยังสอนโดยการเขียนกระดานดำ ใช้ช๊อคเขียนกระดาน นั่งจดกันอย่างตั้งใจเพราะกลัวคุณครูจะลบไปซะก่อน 
        ผ่านไปสักพักกระดานสีเขียวๆในห้องเรียนก็เปลี่ยนเป็นกระดานไวท์บอร์ด ช่วยเพื่อนที่เป็นโรคหอบหืดไปได้พอสมควร (จะได้ไม่ต้องนั่งสูดฝุ่นช๊อคทุกวัน) พอโตขึ้นมาอีกนิดก็เริ่มมีการเรียนผ่าน PowerPoint คุณครูเริ่มมีการนำคลิปวิดีโอต่างๆมาเปิดเพื่อเป็นสื่อการเรียนการ สอน แต่คุณครูบางคนท่านก็ไม่ถนัดทำสื่อคอมพิวเตอร์เท่าไรนักก็ยังมีการเรียนแบบจดบนกระดานอยู่บ้าง แต่พอชีวิตเริ่มเข้าสู่ช่วงมัธยมตอนปลายจะพูดได้เลยว่าขนาดคุณครูวัยพี่เบิร์ดธงไชยบางท่านยังทำสื่อ PowerPoint สวยกว่าแพรด้วยซ้ำ ไวท์บอร์ดแทบจะถูกลืมไปเลย แถมคุณครูบางท่านยังมีการทำเกมส์แอนนิเมชั่นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนอีกด้วย ช่วยทำให้คาบบ่ายในวิชาฟิสิกส์ดูน่าตื่นเต้นขึ้นได้มาก (ปกติจะมีอาการง่วงเหงาหาวนอนเข้าแทรกประจำ) 


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 



          แต่ถ้าจะให้พูดถึงช่วงมัธยมตอนปลายสื่อในการเรียนที่แพรประทับใจมากที่สุดก็คงไม่พ้นห้องดูดาว 3 มิติ (เป็นห้องฉายภาพเสมือนจริงดาราศาสตร์ 3 มิติ ที่โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ร่วมกับ The Centre for Astrophysics & Supercomputing, Swinburne University of Technology, Australia จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอนดาราศาสตร์ที่จะช่วยจุดประกาย เด็กและเยาวชน ให้เกิดความรักและสนใจในดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีความสำคัญมาก ช่วยในการเสริมสร้างจินตนาการให้สนใจศึกษาและค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีมากขึ้น) จะพูดได้เลยว่าการได้ไปศึกษาแหล่งการเรียนรู้ของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ในครั้งนั้นเป็นการจุดประกายที่ทำให้แพรเริ่มสนใจที่จะมาฝึกฝนในเทคโนโลยีการศึกษาต่างๆอย่างจริงจัง เริ่มในช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 5 แพรเริ่มมีโอกาสได้ฝึกอบรมและเป็นตัวแทนของโรงเรียนในการจัดทำสื่อและเทคโนโลยีการศึกษา ทำให้แพรได้รู้จักสื่อการเรียนรู้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็น CAI, e-book, Animation, e-Learning และอื่นๆอีกมากมาย พอยิ่งได้รู้จักได้สัมผัสยิ่งทำให้แพรอยากจะรู้มากขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลอีกข้อที่ทำให้แพรตัดสินใจมาเรียนที่นี่ 

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

 
      เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงมหาวิทยาลัยการเรียนการสอนเปลี่ยนไปจากช่วงมัธยมอย่างสิ้นเชิง จะบอกได้เลยว่าถ้าไม่มีอินเตอร์เน็ตการทำอะไรต่างๆกลายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก เพราะในช่วงมหาวิทยาลัยนี้ไม่ว่าจะเป็นการสืบค้นข้อมูล การส่งงาน การติดต่อกับท่านอาจารย์ ล้วนแล้วจะต้องทำผ่านอินเตอร์เน็ตทั้งสิ้น แต่เนื่องจากตอนปีหนึ่งอินเตอร์เน็ตที่องครักษ์ใช้งานได้ดีมากเหลือเกิน จึงทำให้แพรและเพื่อนๆก็ได้มีโอกาสกับมาพึ่งพาเทคโนโลยีการศึกษาในรูปแบบเดิมๆอยู่บ่อยครั้ง แต่ห้องสมุดก็ไม่เคยทำให้แพรผิดหวังถึงแม้ว่ากว่าจะค้นหาได้ตามที่ต้องการก็ทำเอาเหนื่อยไม่ใช่เล่น

 จากที่แพรกล่าวมาทั้งหมดท่านผู้อ่านจะเห็นได้เลยนะคะว่าการเรียนการสอนมีเทคโนโลยีการศึกษาเข้ามาช่วยมากมาย แม้ว่าเทคโนโลยีการศึกษาบางอย่างในปัจจุบันนี้อาจจะโดนหลงลืมไปบ้าง แต่สำหรับตัวแพรคิดว่าเทคโนโลยีการศึกษาทุกอย่างยังคงมีประโยชน์เท่าๆกัน เพียงแต่ได้นำมาใช้ในโอกาสใดก็เท่านั้น แล้วเทคโนโลยีการศึกษาของท่านผู้อ่านล่ะคะมีอะไรบ้าง? อย่าลืมมาแบ่งบันประสบการณ์การเรียนรู้ให้แพรอ่านบ้างนะคะ




          - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บริหารคน...บริหารใจ



           
 สวัสดีค่ะคุณผู้อ่าน หลังจากหัวข้อที่แล้วแพรได้มาแนะนำตัวไปคงจำกันได้ สำหรับหัวข้อในวันนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเรียนรู้ค่ะ แพรเชื่อว่าพอหลายคนเห็นหัวข้อแล้วคงจะส่ายหัว แต่แพรคิดว่าหลังจากที่ทุกคนได้อ่านคงได้นำไปประยุกต์ใช้ได้ไม่มากก็น้อยเลยล่ะค่ะ


          ถ้ามาพูดกันถึงเรื่องการเรียนรู้ สำหรับแพรนั้นเรื่องที่แพรต้องเรียนรู้คงไม่ใช้เพียงแค่ในห้องเรียนเท่านั้น อย่างที่แพรเคยกล่าวไปในหัวข้อการแนะนำตัว แพรเป็นคนชอบทำกิจกรรมต้องพบปะผู้คนหลายเพศหลายวัยแตกต่างกันออกไป อาจจะงงว่าเกี่ยวกับการเรียนรู้อย่างไรใช่ไหมละคะ สำหรับแพรการได้ทำงานร่วมกับผู้อื่นในฐานะของผู้นำหรือผู้ร่วมงานนั้นถือเป็นการเรียนรู้ที่ยากพอสมควร เพราะแพรต้องฝึกที่จะเข้าใจผู้อื่น มองคนให้ออกและสามารถบริหารทั้งงานและคนให้ไปด้วยกัน รวมทั้งต้องประพฤติตนให้เหมาะสมอีกด้วย สำหรับบทความนี้แพรขอนำเสนอทฤษฎีจูงใจคนที่แพรนำมาประยุกต์ใช้คือ "ทฤษฎี XYZ"

 


    


ทฤษฎีนี้เกิดจากข้อสมมุติฐานที่ว่า
           ตามธรรมชาติของมนุษย์มีความเกียจคร้านเป็นนิสัย ดังนั้นการทำกิจกรรมใดๆก็ต้องมีการกระตุ้นโดยการให้รางวัลหรือการลงโทษ ตลอดจนต้องมีการควบคุมอย่างใกล้ชิด
           จากหลักความคิดของทฤษฎี X จะกล่าวได้ว่าบุคคลใดๆจะทำงานเมื่อมีกฎ ระเบียบมาบังคับ และต้องจ่ายค่าตอบแทนจึงจะทำงาน หลายคนอาจจะใช้ทฤษฎีนี้ ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลิตภาพที่ดี แต่ความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงานอาจจะออกมาไม่ดีอย่างที่คิด สถานการณ์ที่บ่งบอกคือ บุคคลนั้นๆจะทำงานในส่วนที่ตนเองได้รับมอบหมายเท่านั้น แต่จะไม่มีการช่วยเหลือผู้อื่น ทำงานแบบขอไปทีหรือขอให้จบไปวันๆเท่านั้น ผู้นำที่บริหารบุคลากรด้วยทฤษฎี X มักจะได้รับผลงานที่ดีเยี่ยมแต่ความสัมพันธ์กับเป็นทางยอดแย่แทน




 
 
   

 ทฤษฎีข้อนี้เกิดจากข้อสมมุติฐานที่ว่า
          โดยธรรมชาติและมนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นอยากทำ หากสิ่งเหล่านั้นมีความหมายและน่าสนใจสำหรับตัวเขา เขาก็จะทำด้วยตนเองหรือดิ้นรนเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
           จากหลักทฤษฎีนี้จะให้ความสำคัญกับเพื่อนร่วมงาน ส่งเสริมให้แต่ละบุคคลได้แสดงศักยภาพของตนเอง พัฒนาขีดความสามารถจนกระทั่งบรรลุตามเป้าหมาย ทฤษฎีนี้เน้นทุกคนเป็นจุดศูนย์กลาง อ่านดูแล้วเป็นทฤษฎีที่น่าใช้เพราะเป็นเรื่องที่จะไม่ทำร้ายความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งเป็นการถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน แต่ความเป็นจริงแล้วในสังคมย่อมมีบุคคลที่มีความหลากหลายทางพฤติกรรม มีพื้นฐานทางความคิดแตกต่างกัน ดังนี้การจะใช้ทฤษฎี Y เพียงอย่างเดียวในการบริหารคนจึงอาจประสบปัญหาหลายอย่างและไม่บรรลุผลตามที่ ตั้งใจไว้






 



ทฤษฎี นี้รวมเอาหลักการของทฤษฎี X และ Y เข้าด้วยกัน แนวความคิดก็คือ มีหลักเกณฑ์ที่ควบคุมมนุษย์ แต่มนุษย์ก็รักความเป็นอิสระและมีความต้องการ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามแต่ละบุคคลและสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ทฤษฎีมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการคือ
1. การทำตั้งใจในสิ่งที่หวังไว้สำเร็ลลุล่วง
2. การเปิดโอกาสให้ทุกคนได้พัฒนาและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
          3. การให้ความไว้วางใจแก่เพื่อนร่วมงาน
          4. การให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
 


      สำหรับตัวแพรเองนั้นคิดว่า การทำงานแต่ละอย่างให้เกิดความเหมาะสมนั้นก็ควรจะใช้ทฤษฎีจูงใจคนที่แตกต่างกัน แต่ส่วนหนึ่งต้องไม่ลืมว่า ทุกคนนั้นเป็นเพื่อนของเรา ดังนั้นไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีไหนก็ตามสิ่งที่ลืมไม่ได้เลยนั้นก็คือทฤษฎีบริหารคนด้วยหัวใจควบคู่กันไปด้วย นึกถึงใจเขาใจเราเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะคะ


วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หยดหมึก : หยดที่หนึ่ง
















ใ น วั น ที่ เ ล ว ร้ า ย  ถ้ า มี ใ ค ร ห นึ่ ง ค น 

ม า ทำ ใ ห้ เ ร า ยิ้ ม ไ ด้ 

จ ง มั่ น ใ จ ว่ า เ ข า คื อ " ค น สำ คั ญ. " #perfunn



คุณเคยมีความรู้สึกนี้บ้างไหม? 
เมื่อท้อเหนื่อยหรือไม่มีแรงแม้จะก้าวเดินต่อไป...
ในเวลานั้นแค่คุณคิดถึงหน้าใครสักคนหนึ่ง 
มันกลับสร้างแรงผลักดันให้คุณสามารถก้าวเดินต่อไป
ถ้าหากมีแล้วล่ะก็...อยากจะบอกเลยว่ารักษาเขาไว้ดีๆล่ะ
เพราะเขาน่ะเป็นคนสำคัญของคุณ
โดยที่บางที คุณอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป...

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




© It's blog. it's me. 2012 | Blogger Template by Enny Law - Ngetik Dot Com - Nulis